วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552

วันชัย สิริพงษ์เลิศ king of wallstreet

ในโลกไซเบอร์ทุกวันนี้ มีแต่ผู้คนสายตาสั้น เอียง เป็นต้อกันแยอะเพราะมัวแต่จ้องมองคอมพ์ผิดกับเพื่อนผมคนนี้เพราะถึงแม้พี่เค้าจะเล่นคอมพ์มากแต่สายตาพี่เค้าดีเยี่ยมแต่สายตาที่ว่าไม่ใช่ทางรูปธรรมนะครับแต่เป็นทางนามธรรมต่างหาก พี่เค้ามักมองอะไรที่ไกลกว่าผมเห็นอะไรที่ลึกกว่าผม แนะนำเลยดีกว่า คุณวันชัย สิริพงษ์เลิศ -พิการสมองส่วนควบคุมการเคลื่อนไหว -เรียนจบโปรแกรมเมอร์ จากสถาบันอาชีวพระมหาไถ่ -ปัจจุบัน ทำงานกับองค์กรไม่แสวงผลกำไร IL


content นี้ผมพยายามเอาเนื้อหาที่พี่เคยแนะนำผมหลายๆอย่างมาให้เพื่อนฟังเพื่อ เป็นประโยชน์ ดีไม่ดีติชมกันได้นะครับ ผมรู้จักกับพี่เค้ามาได้ 11 ปีแล้ว พี่เค้าเป็นคนชอบเข้ากลุ่มและสังคมซึ่งตรงข้ามกับผมซึ่งชอบเก็บตัวและชอบอยู่คนเดียว บางครั้งผมมีปัญหาก็ไม่รู้ปรึกษาใครมีวันหนึ่งผมรู้สึกเหงาๆ อยากขอคำแนะนำเรื่องความรักจากพี่วันชัย ก็เลยไปนัดเจอกันที่สนามหลวง บรรยากาศดี ไม่มีเหลือง-แดง จากนั้นพี่วันชัยก็สอนว่า ความรักก็เหมือนกับกระเป๋าที่ผู้หญิงสะพายเดินไปเดินมานั่นแหละ ถ้าเอ็งอยากได้ก็ต้องเข้าไปคุยต่อรองกับเจ้าของเค้า(เปรียบเทียบให้มีความกล้า)ซึ่งไม่ง่ายที่เอ็งจะได้กระเป๋ามา แต่ถ้าเอ็งได้มาก็จงใช้มันอย่างคุ้มค่า(ให้นึกถึงคุณค่าของความรัก)[พี่เค้าเก่งมากแต่ว่าตัวเค้าก็ผิดหวังเรื่องความรักเหมือนกัลลล..อิๆๆ ] นอกจากเรื่องความรักพี่วันชัยยังมีความรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์เป็นอย่างดีตั้งแต่ระดับmicro จนระดับ macro โดยเฉพาะเรี่องตลาดทุน พี่วันชัยสามารถทำรายได้จากตลาดตกเดือนละหมื่นแบบสบายๆ โดยไม่ต้องซีเรียส ซึ่งเป็นพวงสวรรค์ของพี่วันชัย(ขอโทษครับ พรสวรรค์)ซึ่งผมก็อยากทำได้แบบพี่เค้าบ้าง แต่ด้วยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและองค์ความรู้ ผมสู้พี่วันชัยไม่ได้ก็เลยต้องยอมแพ้พี่เค้า และพี่วันชัยก็คือหนึ่งในกูรูของผู้พิการเรื่องตลาดทุนที่อยากแนะนำให้เพื่อนได้รู้จักนะครับติดต่อขอคำแนะนำได้พี่เค้ายินดีเสมอ....

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552

ประพันธ์ ตุ่นคำ king of leather

ในชีวิตผมถือว่าโชคดีที่ได้พบเจอแต่คนดีๆๆ มีน้ำใจแม้พวกเค้าจะไม่รวยด้วยทรัพย์สินเงินทองแต่พวกเค้ารวยด้วยน้ำใจ และ ไมตรี เฉกเช่น พี่ประพันธ์ ตุ่นคำ ไม่ใช่ king of popที่กำลังดังแต่เป็น king of leather "ราชาเครื่องหนังข้างถนน" ซึ่งถ้านึกถึงบทเพลงเพื่อชีวิตก็น่าตรงกับเพลง "คนจนผู้ยิ่งใหญ่"


ของคาราบาว ประพันธ์ พิการจากอุบัติเหตุในตอนวัยรุ่น ไม่ใช่ด้วยความคะนองหรือเมาสุราที่กำลังฮิตแต่ประพันธ์พิการในหน้าที่พิทักษ์ป่าในภาคใต้ของไทยเราในขณะเป็นเจ้าหน้าที่ชั่วคราวของกรมป่าไม้ หลังพิการชีวิตมีแต่ตกต่ำ อ้างว้าง แต่มีวันหนึ่ง พี่เค้าปิ๊งไอเดีย ในขณะนั่งรถเมล์ผ่านร้านขายเครื่องหนัง พี่เค้าขอซื้อเศษหนังที่เค้าจะโละทิ้ง มาทำเป็นกระเป๋า ทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน ถึงแม้กระเป๋าที่ทำจะสู้ Guy laroche, chanelหรือ coach ไม่ได้ แต่กระเป๋าทุกใบที่ทำทำ



ด้วยจิตวิญญาณ และใส่ใจทุกชิ้นงานอันไหนไม่ดีทิ้ง เป็นพนักงาน Qcในตัว สโลแกนคือ "หนังแท้ทำมือ มีชิ้นเดียวในโลก"ด้วยราคาหนังที่แพงมาก แต่ประพันธ์สามารถทำเป็นกระเป๋าเท่ห์ๆ ใบขนาดกลาง ราคาแค่80-90 บ.ลูกค้าส่วนมากไม่เชื่อเป็นหนังแท้ กลยุทธอันเด็ดของพี่เค้าก็คือใช้ไฟลนเลยถ้าเป็นหนังแท้จะไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นหนังเทียมหรือ pvc มันจะหดตัวหรือถ้าไหม้จะมีกลิ่นเหม็นไหม้แบบพลาสติก ประพันธ์เป็นคนใจดีถ้าใครสนใจเรื่องเครื่องหนังไม่ว่าพิการหรือไม่พิการ พี่เค้าจะสอนให้หมด และยังแนะนำ แหล่งจำหน่าย หรือ แหล่งที่จะซื้อหนังและอุปกรณ์ในการทำในราคาถูกและที่สุดยอดยังแนะนำเทคนิคในการพูดคุยกับ

ลูกค้าด้วยส่วนชีวิตประพันธ์เองวันแรกเป็นอย่างไร วันนี้ก็เป็นอย่างนั้น เพราะพี่เค้าใจดีและรักเด็กบางทีขายได้กำไรส่วนที่เป็นกำไรก็จะกลายเป็นขนมไว้ซื้อแจกเด็กๆ ที่มักรายล้อมที่บ้านพี่เค้าเพราะชีวิตพี่เค้าเคยมีลูกแต่ว่าได้เสียชีวิตไปแล้ว ทุกวันนี้พี่ประพันธ์บอกว่าสิ่งมีค่าติดตัวและรู้ใจก็มีแต่ขาปลอมด้านซ้ายเท่านั้นที่คอยรับใช้พี่เค้าทุกฝีก้าว และปัจจุบันพี่ประพันธ์ได้ย้ายไปอยู่บ้านเกิดที่เชียงรายยึดอาชีพกระเป๋าหนังอยู่แต่เสริมด้วยกระเป๋าจากผ้าทอมือด้วยถ้าใครอยากติดต่อกับพี่เค้าก็ตรงแสดงความคิดเห็นนี่แหละครับ เพราะพี่เค้าเป็นคนยุคbaby bloom ไม่ค่อยสนใจเรื่องคอมพิวเตอร์ แล้วผมจะบอกต่อให้อีกทีนะครับ

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552

มานพ เงินชูศรี

ในชีวิตหนึ่ง ผมมีโอกาสเจอคนมากมายแต่มีไม่กี่คนที่ผมเรียกว่า "เพื่อน" หนึ่งในนั้นก็คือ พี่มานพ เงินชูศรี
เป็นคนนครสวรรค์ แต่มาใช้ชีวิตโลดโผนในกรุง ในสภาพที่ร่างกายไม่เหมือนใคร แต่ใจเกิน100



ประวัติเริ่มเลยจากการเรียนวิชาชีพที่ศูนย์ฝึกวิชาชีพคนพิการพระประแดงเมื่อปี2530 ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้น
ของการมีชีวิตบนลำแข้ง(ที่อ่อนแรง)ของตนเอง พี่ลงเรียนวิชาเย็บผ้าแต่เรียนจบแล้วดันไปทำอาชีพวาดภาพ
เหมือนในห้างมาบุญครอง ซึ่งการวาดภาพของพี่มานพไม่ได้เรียนมาจากสถาบันไหนแต่เป็นการเรียนด้วยตัว
เองทางไปรษณีย์ในตอนที่อยู่ที่บ้าน แต่พี่เค้าก็ทำอยู่ได้ไม่นานเพราะมีอุปสรรคในการเดินทางซึ่งต้องขึ้นรถเมล์
ในสภาพที่ต้องอาศัยไม่ค้ำ2ข้างพยุงตัวเวลาขึ้นและลงทำให้มีหลายครั้งต้องล้มกลิ้งบนรถบ่อยๆ
จากนั้นก็ได้ไปทำงานในวิชาที่ได้ร่ำเรียนมาคือเป็นพนักงานเย็บผ้าในโรงงานแถวลาดพร้าวอยู่อีกหลายปี
จนวันหนึ่งมีการรับสมัครคนพิการเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ พี่มานพก็ไปคัดเลือกและก็ผ่าน(ตอนอยู่ที่นครสวรรค์
พี่มานพชอบดำน้ำไปยิงปลาตามแก่งหิน) พี่ต้องซ้อม ซ้อม จนแกร่ง จนถึงวันที่รอคอย ปักกิ่งเกมส์ปี 1993
พี่มานพเล่าว่าไม่อยากเชื่อว่าจะได้ไปต่างประเทศ แต่สุดท้ายแล้วถึงแม้จะไม่ได้เหรียญ แต่ได้กำไรมันเป็น
กำไรชีวิตที่พี่เค้าภาคภูมิใจจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันพี่มานพ ทำงานเป็นพนักงานควบคุมแท่นพิมพ์ของโรงพิมพ์
"ยิ้มสู้"ซึ่งเป็นโรงพิมพ์ที่บริหารและดำเนินงานโดยคนพิการและยังเอาเวลาว่างรับจ้างประกอบคอมพิวเตอร์
เป็นรายได้เสริม



สุดท้ายนี้ถ้าเพื่อนๆมีปัญหาเรื่อง hardware สอบถามได้นะครับ หรือ อยากทราบ
เทคนิคการวาดภาพเหมือน หรือ อยากรู้เทคนิคการว่ายน้ำ พี่มานพมีคำตอบให้เสมอครับ

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

handycaped club

สวัสดีครับ..ยินดีที่ได้รู้จักกัน...ผมเป็นผู้พิการคนหนึ่งบนโลกที่เบี้ยวๆๆใบหนึ่งในจักรวาล คุณอาจไม่รู้จักผม..แต่ไม่เป็นไร

เป็นเพื่อนกันได้...และ blog นี้ ผมอยากให้มันเป็น club ให้พวกเราได้มารู้จักกัน โดยที่ผมจะแนะนำเพื่อนๆ ที่ผมได้รู้จัก

มาลงในblog นี้ ซึ่งแต่ละท่าน ล้วนมีความสามารถในแต่ละด้านไม่เหมือนกัน ทั้งความสามารถในด้านมืด หรือ ด้านสว่าง

เอาเป็นว่ามาทำความรู้จักกันเลยนะครับ